ดราม่าข้ามโขง #เซฟกีบ หลังลาวประกาศ กดค่าเงิน-ไม่รับเงินต่างประเทศ

[thanin]

ดราม่าข้ามโขง #เซฟกีบ หลังลาวประกาศ กดค่าเงิน-ไม่รับเงินต่างประเทศ
เป็นประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจ เกี่ยวกับแคมเปญ #เซฟกีบ หรือ การเซฟเงินกีบลาว ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประชาชนได้ออกมาประกาศไม่รับเงินตราต่างประเทศ

โดยพบว่าแคมเปญดังกล่าวเกิดขึ้นจาก ประชาชนลาว ได้พร้อมใจกันประกาศ​ ไม่รับเงินตราต่างประเทศ หรือ หากต้องการใช้เงินต่างประเทศ​ จะได้รับเรตที่น้อยกว่าอัตราแลกเปลี่ยนปกติ

ปัจจุบันพบว่า อัตราแลกเปลี่ยน เงินบาท เป็นเงินกีบ จะอยู่ที่ 100 บาท เท่ากับ 61,318 กีบ แต่แคมเปญดังกล่าวทำให้หลายร้านในประเทศลาว ขึ้นป้ายว่า หากใช้เงินไทย 100 บาท จะได้เงินกีบ เพียง 30,000 กีบ เท่านั้น ส่วนเงินดอลลาร์ ปัจจุบันอยู่ที่ 100 เหรียญ เท่ากับ 2.2 ล้านกีบ แต่ถูกกดอัตราแลกเปลี่ยน อยู่ที่ 800,000 กีบเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แคมเปญดังกล่าวมีทั้งกระแสการตอบรับเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพราะการค้าระหว่างประเทศยังจำเป็นต้องใช้เงินบาทมาซื้อของจากประเทศไทย ซึ่งผู้ที่สนับสนุนโครงการนี้ มองว่าอาจจะเป็นทางเยียวยาปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศลาวขณะนี้ได้


ทั้งนี้พบว่า ลาว เผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก ค่าเงินอ่อนตัว เงินเฟ้อพุ่งสูง โดยลาวนั้นกู้เงินลงทุนจากจีนจำนวนมาก และดูเหมือนว่าจะเผชิญกับปัญหาการจ่ายหนี้อย่างหนักในขณะนี้ พบว่า ภาระหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงทะลุ 100% ของ GDP ไปแล้ว

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่า หนี้สาธารณะของ สปป.ลาว มีแนวโน้มจะพุ่งสูงถึง 122% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยหนี้สินส่วนใหญ่ล้วนผูกพันกับการตกลงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน Admauto99

ค่าเงินกีบของลาวนั้นอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง �กลางปี 2021 อัตราแลกเปลี่ยนเงินกีบอยู่ที่ 9,440 กีบต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ � ในเดือนมิถุนายน 2022 อยู่ที่ 14,000 กีบต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐจนมาในปี 2024 1 ดอลลาร์สหรัฐ �อยู่ที่ 22,141 กีบ

ธนาคารโลกระบุ ถึงเรื่องสกุลเงินกีบอ่อนค่า ในประเทศที่มีหนี้ภายนอกรวมแล้วร้อยละ 59 เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนสกุลเงินกีบของลาวอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ร้อยละ 31 ในปี 2566 ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกำลังสูงขึ้นในระดับที่เทียบเท่ากัน การที่ค่าเงินกีบอ่อนค่าต่อไปเรื่อยๆ จะทำให้ลาวชำระหนี้ได้ยากขึ้น

การผ่อนชำระหนี้ที่ติดจีนไว้นั้นเทียบเป็นเงินได้ราว 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 73,000 ล้านบาท) หรือคิดเป็นมากกว่าร้อยละ 15 ของจีดีพีในปี 2566